งานวิจัยล่าสุดจากอังกฤษชี้รถเบนซินคุ้มกว่ารถดีเซล เมื่อเทียบกันที่ราคาตัวรถและน้ำมันที่ทะยานอย่างต่อเนื่อง
ชื่อเสียงของรถดีเซล ในเรื่องประหยัดเงินคนขับถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ เมื่องานวิจัยของกลุ่มเฝ้าระวังเพื่อผู้บริโภคในอังกฤษ ระบุว่า รถดีเซลกินน้ำมันมากกว่ารถเบนซิน และสรุปว่า "ดีเซลไม่ได้เป็นทางเลือกสำหรับเครื่องยนต์ประหยัดพลังงานอีกต่อไป"
แม้เครื่องยนต์ดีเซล อาจวิ่งได้หลายกิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร แต่ต้องใช้เวลามากถึง 14 ปี กว่าจะช่วยประหยัดเงินให้คนขับได้ เป็นเพราะรถดีเซลและน้ำมันดีเซลมีราคาสูงขึ้น โดยน้ำมันดีเซลมีราคาแพงมากกว่าน้ำมันไร้สารตะกั่วเกือบ 6 เพนซ์ต่อลิตร (ราว 3 บาทต่อลิตร)
ผลทดสอบของกลุ่มเฝ้าระวังเพื่อผู้บริโภค พบว่า เมื่อเจ้าของรถต้องจ่ายค่าน้ำมันต่อปีระหว่าง 1,000-2,000 ปอนด์ (ราว 49,500-99,000 บาท) และมากขึ้นสำหรับรถใหม่ อาจต้องใช้เวลาถึง 14 ปีจึงจะเริ่มประหยัดค่าน้ำมันได้
"ราคาน้ำมันเบนซิน/ไร้สารที่ถูกลง และความก้าวหน้าในการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รถที่ใช้น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร คุ้มค่าเงินมากกว่า" ผลทดสอบระบุ ข้อค้นพบนี้ ถูกนำออกเผยแพร่ในช่วงที่รถดีเซลขายได้กว่าครึ่งของตลาดรถใหม่เป็นครั้งแรก
จากการเปรียบเทียบรถยอดนิยม 6 รุ่น ทั้งแบบที่ใช้น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร และแบบที่ใช้น้ำมันดีเซล ประกอบด้วย "ฟอร์ด เฟียสต้า" "แวกซ์ฮอลล์ แอสตร้า" "โฟล์คสวาเกน ไทกวน" "โฟล์คสวาเกน ชาแรน" "บีเอ็มดับบลิว ซีรีส์ 5" และ"เปอร์โยต์ 308 เอสดับบลิว" โดยคำนวณค่าน้ำมันต่อปีจากระยะทางเฉลี่ย 10,607 ไมล์ พบว่า
ชื่อเสียงของรถดีเซล ในเรื่องประหยัดเงินคนขับถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ เมื่องานวิจัยของกลุ่มเฝ้าระวังเพื่อผู้บริโภคในอังกฤษ ระบุว่า รถดีเซลกินน้ำมันมากกว่ารถเบนซิน และสรุปว่า "ดีเซลไม่ได้เป็นทางเลือกสำหรับเครื่องยนต์ประหยัดพลังงานอีกต่อไป"
แม้เครื่องยนต์ดีเซล อาจวิ่งได้หลายกิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร แต่ต้องใช้เวลามากถึง 14 ปี กว่าจะช่วยประหยัดเงินให้คนขับได้ เป็นเพราะรถดีเซลและน้ำมันดีเซลมีราคาสูงขึ้น โดยน้ำมันดีเซลมีราคาแพงมากกว่าน้ำมันไร้สารตะกั่วเกือบ 6 เพนซ์ต่อลิตร (ราว 3 บาทต่อลิตร)
ผลทดสอบของกลุ่มเฝ้าระวังเพื่อผู้บริโภค พบว่า เมื่อเจ้าของรถต้องจ่ายค่าน้ำมันต่อปีระหว่าง 1,000-2,000 ปอนด์ (ราว 49,500-99,000 บาท) และมากขึ้นสำหรับรถใหม่ อาจต้องใช้เวลาถึง 14 ปีจึงจะเริ่มประหยัดค่าน้ำมันได้
"ราคาน้ำมันเบนซิน/ไร้สารที่ถูกลง และความก้าวหน้าในการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รถที่ใช้น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร คุ้มค่าเงินมากกว่า" ผลทดสอบระบุ ข้อค้นพบนี้ ถูกนำออกเผยแพร่ในช่วงที่รถดีเซลขายได้กว่าครึ่งของตลาดรถใหม่เป็นครั้งแรก
จากการเปรียบเทียบรถยอดนิยม 6 รุ่น ทั้งแบบที่ใช้น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร และแบบที่ใช้น้ำมันดีเซล ประกอบด้วย "ฟอร์ด เฟียสต้า" "แวกซ์ฮอลล์ แอสตร้า" "โฟล์คสวาเกน ไทกวน" "โฟล์คสวาเกน ชาแรน" "บีเอ็มดับบลิว ซีรีส์ 5" และ"เปอร์โยต์ 308 เอสดับบลิว" โดยคำนวณค่าน้ำมันต่อปีจากระยะทางเฉลี่ย 10,607 ไมล์ พบว่า
รถเครื่องยนต์น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องใช้รถเฉลี่ย 10,000 ไมล์ต่อปี (หรือ 16,093 กิโลเมตร)
"แม้จะใช้รถมากกว่า 10,000 ไมล์เล็กน้อย เครื่องยนต์น้ำมันเบนซิน/ไร้สารก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด" ผลทดสอบระบุ
การศึกษาครั้งนี้ พบว่า รถบีเอ็มดับบลิว 530ดี เอสอี ดีเซล เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งมีราคา 40,945 ปอนด์ (ราว 2,025,000 บาท) และกินน้ำมันประมาณ 17 กิโลเมตร/ลิตรนั้น ต้องใช้เวลามากกว่า 14 ปี จึงจะช่วยประหยัดค่าน้ำมัน เมื่อเทียบกับรุ่น 528ไอ เอสอี สเตป ออโต้ ซึ่งมีราคา 37,300 ปอนด์ (ราว 1,845,000 บาท) และกินน้ำมัน 15 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนฟอร์ด เฟียสต้า ทีดีซีไอ รุ่นดีเซล 1.6 ลิตร ซึ่งมีราคา 15,495 ปอนด์ (ราว 766,000 บาท)และกินน้ำมันเฉลี่ย 27 กิโลเมตร/ลิตร ดีขึ้นมาหน่อย แต่จะต้องใช้เวลา 7.8 ปี จึงจะเริ่มประหยัดค่าน้ำมันได้ เมื่อเทียบกับรุ่นน้ำมันเบนซิน/ไร้สาร 1.25 ลิตร ราคา 13,095 ปอนด์ (ราว 647,000 บาท) และกินน้ำมันเฉลี่ย 20 กิโลเมตรต่อลิตร
"ถ้าขับในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ระยะเวลาคืนทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 ปี แต่ถ้าใช้รถทั้งในเมืองและออกต่างจังหวัด จะใช้เวลาประมาณเกือบ 8 ปีก่อนจะถึงจุดประหยัดน้ำมัน" ผลทดสอบ ระบุ
ส่วนรถตู้โฟล์คสวาเกนรุ่นชาเรนจ์ ที่ใช้น้ำมันดีเซล 2.0 ทีดีไอ ซึ่งมีราคา 27,800 ปอนด์ (ราว 1,376,000 บาท) และกินน้ำมันเฉลี่ย 20 กิโลเมตรต่อลิตร จะใช้เวลาแค่ 3 ปีก่อนที่จะถึงจุดคุ้มทุนเริ่มประหยัดน้ำมันได้จริง เมื่อเทียบกับรุ่นน้ำมันเบนซิน/ไร้สาร 1.4 ทีเอสไอ ที่มีราคา 26,475 ปอนด์ (ราว 1,309,000 บาท) และกินน้ำมัน 15 กิโลเมตรต่อลิตร
ขณะที่รถเปอโยต์ รุ่น 308 เอสดับบลิว 1.6 3-เอดีไอ ดีเซล ซึ่งมีราคา 18,665 ปอนด์ (ราว 923,000 บาท) และกินน้ำมัน 26 กิโลเมตรต่อลิตร ใช้เวลา 3.1 ปีถึง"จุดคุ้มทุน" เทียบกับรุ่น 1.6 วีทีไอที่ใช้น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร ซึ่งมีราคา 16,895 ปอนด์ (ราว 835,500 บาท) และกินน้ำมัน 16 กิโลเมตรต่อลิตร
ปัจจุบัน มีการกลั่นน้ำมันดีเซลมากกว่าในอดีต แต่เพราะราคาน้ำมันเบนซิน/ไร้สาร ถูกกว่า 5.5 เพนซ์ต่อลิตร (2.5 บาท/ลิตร) ประกอบกับค่ายรถยนต์พัฒนาเครื่องยนต์ให้ประหยัดน้ำมันเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่สามารถหาค่าน้ำมันเฉลี่ยต่อปีได้
ทั้งนี้ รถใหม่ที่ขายได้ทั้งหมดจนถึงเดือนพ.ค. 2555 เป็นรถดีเซล 51% รถน้ำมันเบนซิน 47.5% และรถน้ำมันทางเลือก 1.5%
"แม้จะใช้รถมากกว่า 10,000 ไมล์เล็กน้อย เครื่องยนต์น้ำมันเบนซิน/ไร้สารก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด" ผลทดสอบระบุ
การศึกษาครั้งนี้ พบว่า รถบีเอ็มดับบลิว 530ดี เอสอี ดีเซล เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งมีราคา 40,945 ปอนด์ (ราว 2,025,000 บาท) และกินน้ำมันประมาณ 17 กิโลเมตร/ลิตรนั้น ต้องใช้เวลามากกว่า 14 ปี จึงจะช่วยประหยัดค่าน้ำมัน เมื่อเทียบกับรุ่น 528ไอ เอสอี สเตป ออโต้ ซึ่งมีราคา 37,300 ปอนด์ (ราว 1,845,000 บาท) และกินน้ำมัน 15 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนฟอร์ด เฟียสต้า ทีดีซีไอ รุ่นดีเซล 1.6 ลิตร ซึ่งมีราคา 15,495 ปอนด์ (ราว 766,000 บาท)และกินน้ำมันเฉลี่ย 27 กิโลเมตร/ลิตร ดีขึ้นมาหน่อย แต่จะต้องใช้เวลา 7.8 ปี จึงจะเริ่มประหยัดค่าน้ำมันได้ เมื่อเทียบกับรุ่นน้ำมันเบนซิน/ไร้สาร 1.25 ลิตร ราคา 13,095 ปอนด์ (ราว 647,000 บาท) และกินน้ำมันเฉลี่ย 20 กิโลเมตรต่อลิตร
"ถ้าขับในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ระยะเวลาคืนทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 ปี แต่ถ้าใช้รถทั้งในเมืองและออกต่างจังหวัด จะใช้เวลาประมาณเกือบ 8 ปีก่อนจะถึงจุดประหยัดน้ำมัน" ผลทดสอบ ระบุ
ส่วนรถตู้โฟล์คสวาเกนรุ่นชาเรนจ์ ที่ใช้น้ำมันดีเซล 2.0 ทีดีไอ ซึ่งมีราคา 27,800 ปอนด์ (ราว 1,376,000 บาท) และกินน้ำมันเฉลี่ย 20 กิโลเมตรต่อลิตร จะใช้เวลาแค่ 3 ปีก่อนที่จะถึงจุดคุ้มทุนเริ่มประหยัดน้ำมันได้จริง เมื่อเทียบกับรุ่นน้ำมันเบนซิน/ไร้สาร 1.4 ทีเอสไอ ที่มีราคา 26,475 ปอนด์ (ราว 1,309,000 บาท) และกินน้ำมัน 15 กิโลเมตรต่อลิตร
ขณะที่รถเปอโยต์ รุ่น 308 เอสดับบลิว 1.6 3-เอดีไอ ดีเซล ซึ่งมีราคา 18,665 ปอนด์ (ราว 923,000 บาท) และกินน้ำมัน 26 กิโลเมตรต่อลิตร ใช้เวลา 3.1 ปีถึง"จุดคุ้มทุน" เทียบกับรุ่น 1.6 วีทีไอที่ใช้น้ำมันเบนซิน/ไร้สาร ซึ่งมีราคา 16,895 ปอนด์ (ราว 835,500 บาท) และกินน้ำมัน 16 กิโลเมตรต่อลิตร
ปัจจุบัน มีการกลั่นน้ำมันดีเซลมากกว่าในอดีต แต่เพราะราคาน้ำมันเบนซิน/ไร้สาร ถูกกว่า 5.5 เพนซ์ต่อลิตร (2.5 บาท/ลิตร) ประกอบกับค่ายรถยนต์พัฒนาเครื่องยนต์ให้ประหยัดน้ำมันเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่สามารถหาค่าน้ำมันเฉลี่ยต่อปีได้
ทั้งนี้ รถใหม่ที่ขายได้ทั้งหมดจนถึงเดือนพ.ค. 2555 เป็นรถดีเซล 51% รถน้ำมันเบนซิน 47.5% และรถน้ำมันทางเลือก 1.5%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น