SPCG : โครงการโซลาร์ฟาร์มพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ

5.12.55
โดยกรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 3 ธ.ค.2555

เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มการดำเนินงานโซลาร์ฟาร์มในอนาคต หลังจากที่บริษัทมีแผนการผลิตไฟฟ้าครบทั้ง 36 โครงการ ภายในสิ้นปี 2556

อีกทั้งได้เตรียมที่ดินรองรับการก่อสร้าง และได้รับการสนับสนุนด้านเงินกู้จากสถาบันการเงินแล้ว นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการขายโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งที่ 10-16 เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) เพื่อลดต้นทุนการเงินของบริษัท ซึ่งจะหนุนให้ฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้นจากประมาณการอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนปี 55 และ 56 ที่ 3.6x และ 5.7x ตามลำดับ (ยังไม่รวมการขายโครงการเข้า IFF) พร้อมกันนี้ มีแผนขยายธุรกิจไปสู่การรับเหมาก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มและธุรกิจแผงหลังคาโซลาร์เซลล์ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจหลังจากโครงการโซลาร์ฟาร์มเริ่มผลิตไฟฟ้าครบทั้ง 36 โครงการแล้ว

คาดผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มครบ 36 โครงการปลายปี 2556

ปัจจุบันบริษัทดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์มแล้วจำนวน 9 โครงการ สำหรับโครงการที่ 10-16 ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้วและมีแผนเริ่มผลิตตั้งแต่เดือนธ.ค. เป็นต้นไป นอกจากนี้ โครงการที่ 17-20 อยู่ระหว่างการพัฒนาและคาดว่าจะเริ่มผลิตภายใน 1Q56 รวมไปถึงโครงการที่ 21-28 ที่มีแผนผลิตใน 2Q56 โครงการที่ 29-34 จะเริ่มผลิตใน 3Q56 และโครงการที่ 35-36 ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่บริษัทเข้าถือหุ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา (ถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท SPA ในบริษัท เอ เจ เทคโนโลยี สัดส่วน 45% และบริษัท ทิพยนารายณ์ สัดส่วน 60%) มีแผนเริ่มผลิตไฟฟ้าใน 3Q56 ทั้งนี้ เราประเมินว่าSPCG จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าครบทั้ง 36 โครงการภายในสิ้นปี 2556 ปัจจุบันสามารถจัดหาที่ดินรองรับโครงการเกือบครบทุกโครงการแล้ว อีกทั้งได้รับวงเงินกู้ (Equity Bridging Facilities) จากธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทยแล้ว

ต่อยอดธุรกิจด้วยการรับเหมาก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มและแผงหลังคาโซลาร์เซลล์

บริษัทมีแผนการร่วมมือกับผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์อย่าง Kyocera เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มทั้งในและต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นทำการพัฒนาโครงการให้กับโซลาร์ฟาร์มของบริษัทสำหรับโครงการที่ 10-34 และมีแผนขยายเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีแผนการการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มชัดเจน นอกจากนี้ บริษัทวางแผนรุกเข้าสู่ธุรกิจแผงหลังคาโซลาร์เซลล์ผ่านบริษัท SSR ของบริษัทที่ปัจจุบันดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่นหลังคาเหล็ก เราประเมินว่าแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวจะช่วยสร้างการเติบโตของผลประกอบการบริษัทในอนาคตหลังจากรายได้มีลักษณะทรงตัวเมื่อโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการ เริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2555-2556
เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ลง 50% เหลือ 123 ล้านบาท พร้อมกับปี 2556 ลง 46% เหลือ 533 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการ 3Q55 ที่น้อยกว่าคาด และการผลิตไฟฟ้าที่ล่าช้าจากประมาณการเดิม โดยบริษัทมีกำไรสุทธิงวด 3Q55 เท่ากับ 14 ล้านบาท (+43%QoQ, +322%YoY) ได้แรงหนุนจากการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์มเต็มทั้งไตรมาสจำนวน 9 โครงการ นอกจากนี้ กำไรสุทธิงวด 9M55 เท่ากับ 34 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิของเดียวกันของปีก่อนที่ -15 ล้านบาท ในเบื้องต้น เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q55 มีแนวโน้มขยายตัว QoQ และ YoY จากการเริ่มผลิตไฟฟ้าของโครงการที่ 10-16 ในเดือนธ.ค.

ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ถือ” กองทุน IFF ช่วยลดความเสี่ยงฐานะการเงิน

เราปรับคำแนะนำขึ้นจาก “เก็งกำไร” เป็น “ถือ” โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2556 เท่ากับ 17.70 บาท (Sum-of-the-parts) ประเมินว่าผลประกอบการของ SPCG ในช่วงปี 2555-2557 จะเติบโตก้าวกระโดดในอัตรามากว่า 150% ต่อปี ตามการเริ่มผลิตไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์มจนครบ 36 โครงการในปลายปี 2556 ส่วนฐานะการเงินแม้เรามีความกังวลจากจำนวนเงินกู้ที่สูงขึ้นตามการก่อสร้างโครงการจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเท่ากับ 3.6x ในปี 2555 และเพิ่มเป็น 5.7x ในปี 2556 แต่คาดว่าแผนการขายโครงการโซลาร์ฟาร์มเข้ากองทุน IFF ครั้งที่หนึ่ง (โครงการที่ 10-16) ในช่วง 1Q56-2Q56 ช่วยผ่อนคลายความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต (ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น