เดอะวอฟเฟิล คลอด แฟรนไชส์ ต่อยอด ธุรกิจฮอต

12.7.53

โดยผู้จัดการ เมื่อ 26 มี.ค.2549

“เดอะวอฟเฟิล” (The Waffle) ร้านขนมวอฟเฟิลเล็กๆ ที่เกิดจากแรงบันดาลใจของ “สุพรรณี พนิตนรากุล” ที่อยากทำขนมอร่อยๆ ให้คนในครอบครัวได้ชิม ก่อนจะขยายสู่ธุรกิจ แฟรนไชส์ที่แม้จะเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่สามารถขยายสาขาได้แล้ว 16 จุด

เธอ เล่าว่า เดิมเป็นแม่บ้าน ชอบทำขนมให้ลูกหลานได้ลองชิม จนได้ทานวอฟเฟิลของร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่ง แล้วประทับใจในรสชาติ ขณะเดียวกัน กลับมีความรู้สึกว่า ทำไมขนมชิ้นเล็กนิดเดียวราคาแพงถึงชิ้นละ 20-30 บาท จึงเกิดแรงบันดาลใจ อยากทำขนมวอฟเฟิลที่อร่อยในราคาไม่แพงออกจำหน่าย

“เมื่อทำ จนได้วอฟเฟิลที่อร่อยเหมือนที่เราอยากได้ ให้ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านชิม ก็ติดใจ เขาก็เชียร์ว่า ขายได้แน่ เลยไปลองขายที่เมืองทองธานี ก็ขายดีมาก ทำให้ตัดสินใจเปิดร้านที่ตลาดนัดสวนจตุจักรเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ก็ขายดีกว่าเดิมอีก สูงสุดเคยใช้แป้งถึงวันละ 100 กิโลกรัม คิดเป็นกว่า 1,600 ชิ้น ซึ่งลูกค้าบอกว่าคล้ายกับขนมชนิดหนึ่งของร้านยามาซากิ แต่จะอร่อยคนละแบบ แต่ของเรา ราคาถูกกว่า ชิ้นละ 15 บาท ทำให้เกิดความคิด ทำเป็นแฟรนไชส์ดีกว่า ขยายธุรกิจด้วยการส่งแป้งเป็นหลัก จะได้กระจายสินค้าได้จำนวนมาก”

เผยจุดเด่น คือ สูตรลับเฉพาะ

สุพรรณี อธิบายว่า ขนม “เดอะวอฟเฟิล” เป็นวอฟเฟิลสูตรโยเกิร์ตที่ผสมในเนื้อแป้ง ไม่ใส่ไส้ใดๆ ทั้งสิ้น ความอร่อยจะอยู่ที่กลิ่นหอม ซึ่งขณะนี้มี 3 กลิ่น ได้แก่ ORIGINAL , RUM RAISIN และ MAPLE ส่วนลักษณะแป้งด้านนอกกรอบ แต่เนื้อในนุ่ม

ในการผลิต ลงทุนซื้อเครื่องจักรต่างๆ กว่า 300,000 บาท เพื่อผลิตโยเกิร์ต และแป้งเอง เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในระยะยาว และคุมคุณภาพ ด้วย ซึ่งโยเกิร์ตที่ทำขึ้น ใช้เป็นส่วนผสมของขนมอบโดยเฉพาะ ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์จะต่างจากโยเกิร์ตทั่วไป และการหมักก็ต่างกัน ถือเป็นสูตรเฉพาะ เพื่อให้ได้กลิ่นรสเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ส่วนผสมในแป้งก็เป็นสูตรเฉพาะตัวเช่นกัน สามารถเก็บไว้ได้นาน 1 อาทิตย์

เปิดตัวแรงเน้นย่านธุรกิจ

สุพรรณี เปิดเผยว่า หลังเปิดขายแฟรนไชส์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปัจจุบันขยายได้ 16 สาขา เน้นย่านธุรกิจ เช่น ถนนสีสม และสาทร เพราะเป็นทำเลที่มีกำลังซื้อสูง ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ พนักงานบริษัท และนักศึกษา นอกจากนี้ ยังมีผู้สนใจจะลงทุนมากทั้งในกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้พิจารณาเรื่องทำเลที่ตั้งให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้แข่งขันกันเอง ส่วนต่างจังหวัดกำลังหาช่องทางจัดส่งวัตถุดิบและดูแลธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ในการคัดเลือกผู้ร่วมลงทุน จะเน้นมากยิ่งขึ้น เพื่อคุมคุณภาพของแฟรนไชส์ โดยเกณฑ์สำคัญที่สุด คือ ต้องเป็นบุคคลที่รักการทำขนมจริงๆ และตั้งใจทำมาหากิน ไม่รังเกียจอาชีพค้าขาย แม้จะเป็นขนมชิ้นละแค่ 15 บาท

“ตอนนี้ เรามีโอกาสเป็นผู้เลือกแล้ว พยายามจะคัดให้ดีที่สุด ต่างจากช่วงแรกที่ผู้ลงทุนจะมาเลือกเรา ส่วนการขยายสาขา ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะไปถึงเท่าไร แต่ไม่อยากให้โตเร็วเกินไป ส่วนคุณสมบัติคนที่เหมาะจะทำธุรกิจนี้ ต้องอยากทำขนมให้อร่อย บวกความตั้งใจจริง เชื่อเถอะว่า การขายขนมชิ้นละสิบกว่าบาท ทำให้คนรวยมาเยอะแล้ว”

ระบุแฟรนไชส์คืนทุนเร็ว

สำหรับการลงทุนแฟรนไชส์ แบ่งเป็น ค่าสมาชิกแรกเข้า 5,000 บาท , ค่าคีออสมีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย แบบ A = 24,000 บาท / แบบ B = 12,000 บาท และแบบ C = 10,000 บาท , ค่าอุปกรณ์กับวัตถุดิบครั้งแรก 14,024 บาท และค่าค้ำประกัน 10,000 บาท รวมใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 53,024 บาท , 41,024 บาท และ39,024บาท (ปรับตามคีออส) => คลิกเพื่อดูตารางลงทุนแฟรนไชส์ “เดอะวอฟเฟิล”

ทั้งนี้ จากประเมิน ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะมีกำไรจากราคาขายชิ้นละ 15 บาท ประมาณ 40 - 50% รายได้เฉลี่ย 1,500 บาทต่อวัน คืนทุนได้ในเวลา 1-2 เดือน โดยมีข้อกำหนดว่า ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องรับแป้ง ในราคา 105 บาท/ กิโลกรัม ( 1 กก. ทำได้ประมาณ 16 ชิ้น) ห้ามเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีก ห้ามปรับสูตร หากไม่ปฏิบัติตามจะยึดป้าย และเงินค้ำประกัน

มั่นใจไม่โดนคู่แข่งตัดราคา
เจ้าของธุรกิจเดอะวอฟเฟิล กล่าวว่า จากจุดแข็งที่ผลิตแป้งและโยเกิร์ตได้เอง ทำให้ต้นทุนต่ำเป็นข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ออกมาแข่งขัน เพราะหากจะได้คุณภาพ และรสชาติเช่นนี้ ไม่สามารถจะตัดราคาให้ต่ำกว่านี้ได้ และการที่เดอะวอฟเฟิลออกมาก่อน ทำให้ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้ามากกว่า

"การที่ขยายสาขาได้เร็วมาก ทำให้เริ่มมีเจ้าอื่นๆ ออกมาเลียนแบบสินค้า เราก็เตรียมพัฒนารสชาติใหม่ๆ และกลยุทธ์การตลาด ที่ตั้งราคาไว้ที่ 15 บาท แต่แรกแล้ว คนที่จะเลียนแบบ ไม่มีทางขายตัดราคาได้ เพราะเรารู้ว่า ถ้าขายต่ำกว่านี้ เขาตายแน่ รสชาติไม่มีทางอร่อยได้ เพราะต้องลดส่วนผสมทุกอย่างลง ซึ่งการที่เราเป็นรู้จักก่อน น่าจะมีโอกาสมากกว่า”

แฟรนไชส์ “เดอะวอฟเฟิล”
-ค่าสมาชิกแรกเข้า 5,000 บาท
-ค่าประกันหนี้สิน 10,000 บาท
-ค่าคีออสแบบ A = 24,000 บาท / แบบ B = 12,000 บาท และแบบ C = 10,000 บาท (แล้วแต่เลือก)
-ค่าอุปกรณ์ 14,024 บาท
-เงินทุนหมุนเวียน (โดยประมาณ) 2,500 บาท/ เดือน
-ค่า ROYATY FEE ปีต่อไป ปีละ 2,000 บาท
-อายุสัญญา 5 ปี

0-89779-2500 ,
0-81918-0123
----------------------------------------

ขนมวอฟเฟิลฮ่องกง เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้กขนมวอฟเฟิลฮ่องกง (Gai Dan Gian, Egg Waffle)

เป็นขนมที่อยู่ในประเภทวอฟเฟิลที่มีรูปแบบของไข่หลายใบ (ขนาดประมาณไข่นกกระทาขนาดใหญ่) ติดกันเป็นแผง มีลักษณะกรอบนอกนุ่มใน(โดยเฉพาะเมื่อยังร้อนอยู่หลังทำเสร็จใหม่ๆ) ทำให้สามารถแกะออกเป็นลูกๆขนาดพอคำ เพื่อรับประทานได้สะดวก มีขายกันทั่วไปตามริมถนนในฮ่องกงมาโดยตลอด ไม่ต่ำกว่า 20 ปี ขนมประเภทนี้มักจะมีรสชาดถูกปากคนท้องถิ่น ซึ่งที่ขายกันอยู่มีหลายรสชาดให้เลือกซึ่งเป็นการผสมกลิ่นลงในแป้ง ทำให้ไม่ได้รสชาดที่แท้จริง เช่น รสบลูเบอร์รี่ เป็นการผสมกลิ่นบลูเบอร์รี่ลงในแป้งรสดั้งเดิมเท่านั้น เป็นต้น เมื่อนำมาจำหน่ายในภูมิภาคอื่นอย่างเมืองไทยจึงต้องมีการปรับปรุงสูตรแป้ง ดั้งเดิมให้มีรสชาดถูกปากคนไทย ในระยะเริ่มต้นนี้จึงมีการเพิ่มทางเลือกของรสชาดที่แท้จริงให้แก่คนไทย โดยผสม Chocolate chip จริง หรือ ลูกเกด ลงในแป้งทำขนมโดยตรง เพื่อรสชาดที่แท้จริง และตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ว่า เอ้ก-อี๊-เอ้ก-เอ้ก (Egg-E-Egg-Egg)

สำหรับการลงทุนในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์ในเบื้องต้นเริ่มต้นที่ 30,000 บาท คืออุปกรณ์ทั้งหมด ได้แก่ ค่าคีออสก์ และจำนวนเตาที่จะนำไปตั้งในคีออส โดยราคาเตาอยู่ที่ 12,000 บาท/เตา ซึ่งหากเป็นคีออสก์ควรที่จะใช้ประมาณ 3 เตา จะเหมาะสมที่สุด ลูกค้าไม่ต้องรอนาน เพราะการทำวอฟเฟิลฮ่องกงแต่ละชิ้นจะใช้เวลาประมาณ 3.50 นาที ในขณะที่ราคาแป้งอยู่ที่ถุงละ 120 บาท สามารถทำได้ 10 ชิ้น ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ไป ได้เพิ่มหน้าต่างๆ เข้าไปด้วยเช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และงา เป็นต้น

ลักษณะร้าน
1. เป็นคีออส หรือ เคานต์เตอร์ ตามแบบที่ ฝ่ายเจ้าของสถานที่กำหนดได้ตามต้องการ
2. เตาไฟฟ้า ต้องใช้กระแสไฟฟ้า 220 Volt ติดต่อสอบถามข้อมูล , 

สอบถามธุรกิจได้ที่
086-386-6346 คุณชไมพร
086-376-1636 คุณสมเจตน์ 02-729-6417 แฟกซ์
contact@eggeeggegg.net
https://twitter.com/hongkongwaffle 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น