E S B I “เงินสี่ด้าน คนสี่ประเภท”

19.10.54
เมื่อ 19 ต.ค.2554

คนทุกคนในโลกกลมๆ ใบนี้ มีวิธีในการทำเงิน 4 แบบ แบ่งแยกตามลักษณะนิสัยของคน 4 ด้านดังนี้

1. E (Employee: ลูกจ้าง) 

ถ้าเราได้รับเงินเดือนจากการทำงานให้กับกิจการที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ก็แสดงว่าเงินของเรามาจากด้าน E ไม่ว่าเขาจะอยู่ตำแหน่งไหนในบริษัทตั้งแต่พนักงานทำความสะอาด จนถึงประธานบริษัท ก็ล้วนแต่เป็นลูกจ้างด้วยกันทั้งนั้น คนเหล่านี้ชอบที่จะคิดและพูดว่า 

“ฉันต้องการหางานที่มีรายได้มั่นคง” หรือไม่ก็พูดว่า 
“เราจะได้ค่าล่วงเวลาเท่าไร” หรือ 
“มีวันหยุดกี่วัน” 

การทำเงินของคนกลุ่ม E คือ การทำงานอิสระตามลำพัง รายได้มีขีดจำกัด ต้องขายความรู้ ความสามารถและแรงงานของตนเองเพื่อแลกกับรายได้ที่ได้มา ซึ่งข้อจำกัดในการเพิ่มรายได้ของการเป็น ลูกจ้างก็คือ “เวลาและความรู้ ความสามารถในอาชีพนั้นๆ” 

หากวันนี้เราต้องการรายได้มากขึ้น เราต้องมีความรู้ ความสามารถมากขึ้นเพื่อต่อรองกับค่าตัวของเรากับนายจ้าง หรือหากเราขยัน ทำงานมากขึ้น (จำนวนชั่วโมงมากขึ้น) เราก็อาจจะมารายได้มากขึ้น (หรือเรียกว่าทำ OT. ) หรือเราอาจจะมองหางานใหม่ที่เงินเดือนมากขึ้นก็ได้ 

น่าเสียดายที่คนในด้าน E มุ่งเน้นแต่แสวงหาความมั่นคง แต่เขาไม่รู้เลยว่า วันดีคืนดีเขาอาจจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไรก็ได้ บริษัทอาจจะต้องปิดตัวหรือปลดคนงานออกเพื่อลดต้นทุน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนด้าน E ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนั้นคนกลุ่มนี้ยังไม่รู้วิธีการทำเงินด้วยวิธีอื่นๆ เขายินดีที่จะทำงานให้กับคนอื่น หรือนายจ้างในบริษัทหรืออาจจะรับราชการและยอมที่จะทำงานอย่างหนักทุกๆ วันจนครบ 1 เดือนเพื่อรับเงินเพียง 1 ครั้ง 

ตลอดเวลาเขาเฝ้ามองหาความมั่นคง มองหางานที่ได้เงินมากกว่าเดิมเสมอ แต่ความจริงก็คือบริษัทจะไม่เลี้ยงดูหรือให้งานเราทำตลอดชีวิต เมื่อเราอายุถึง 55 หรือ 60 ปี เราจะถูกบังคับให้เกษียณอายุ แล้วเมื่อเราเกษียณอายุ ชีวิตที่เหลืออยู่จากนี้ของเรา ซึ่งยังคงต้องกินใช้ตลอด ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าบ้าน จะเอาที่ไหนมาจ่ายละครับ หรือว่าจะหวังว่าลูกๆ ของเราคงจะเลี้ยงดูเราแทน ญาติๆ ของเราจะเลี้ยงดูเรา หรือว่าเราจะมีเงินเก็บซึ่งมีมากพอที่จะใช้ต่อจาก 60 ปีจนเสียชีวิตของเรา

2. S (Self – Employed : กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก) 

ถ้ารายได้ของเราเป็นลักษณะของค่านายหน้า หรือเราคิดค่าตัวของเราเป็นรายชั่วโมงกับลูกค้า เราก็อาจจะอยู่ในกลุ่ม S เช่นพวกตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ที่มักจะพูดว่า 

“เราคิดค่านายหน้า 6% จากราคาซื้อ” 

หรือพวกนักกฎหมายหรือแพทย์ที่คิดค่าใช้จ่ายเป็นรายชั่วโมง นอกจากนั้นก็ยังรวมถึงเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เช่นเจ้าของร้านอาหาร กิจการในครอบครัว อาชีพที่ปรึกษา หรือธุรกิจของตัวเองโดยที่เราเป็นผู้ดูแลหรือผู้ผลิตเอง รวมไปถึงการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 

คนเหล่านี้มักชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเขาเองเสมอ เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ คนกลุ่มนี้มักจะมีรายได้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคนกลุ่มอื่นๆ ในขณะที่ต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่น ปัญหาใหญ่ของคนกลุ่มนี้คือการขาดเงินทุน บ้างก็ขาดกำลังใจหรือบ้างก็ขาดทั้งสองอย่าง คนที่ทำเงินจากด้าน S ต้องอดทนทั้งกับลูกค้า เจ้าหน้าที่รัฐหรือแม้แต่ลูกจ้างของตัวเอง และเมื่อเขาต้องเผชิญกับคนหลายๆ กลุ่มพร้อมๆ กันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 วิธีทำเงินของคนกลุ่ม S คือ การขายเวลาในแต่ละวันและความสามารถ (เฉพาะด้าน) ของตัวเราเองออกไป อาจจะเป็นการใช้เงินซื้อสินค้าอะไรมาบางอย่างเพื่อขายต่อ เช่นการเปิดท้ายขายของ การเปิดร้านเสื้อผ้า หรือหากเราเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น 

ถ้าเราเป็นคุณหมอที่มาเปิดคลินิกของตัวเอง เราก็ต้องลงทุนเช่าที่ ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ฯลฯ หรือหากเป็นทนาย นักบัญชี เราต้องใช้เวลา (ของเรา) ความรู้ ความสามารถ (ของตัวเราเองเท่านั้น) ในการทำเงิน ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ S ที่สำคัญที่สุดคือ " เวลา " เพราะเราไม่สามารถหยุดทำงานได้ 

เช่นหากเราเป็นเจ้าของร้าน หากเราต้องการปิดร้านเพื่อไปพักผ่อน รายได้ของเรา (จากร้านค้าของเรา) ในวันนั้นก็จะไม่มี หากว่าเราเป็นทนายเกิดเราไม่สบาย เราก็ไม่มีรายได้ในวันนั้น (จากค่าว่าความ หรือจากค่าให้คำปรึกษา) เวลาจึงเป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดของการทำเงินแบบ S นอกจากนั้นข้อจำกัดอีกข้อที่สำคัญคือ รายได้แบบ S นี้ ไม่สามารถส่งต่อให้กับทายาทได้ เช่น หมอมีลูกชาย ลูกชายคนนี้อาจจะไม่ได้เรียนหมอมา หรือเรียนมาอาจจะไม่เก่งเท่ารุ่นพ่อได้ ดังนั้นไม่แน่เหมือนกันว่าทายาทของเราจะทำได้เหมือนที่เราทำได้

3. B (Business Owner: เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท)

 ถ้าหากว่ารายได้ของเรามาจากธุรกิจ โดยที่เราไม่ต้องไปทำงานนั้นเอง เราก็จัดอยู่ในกลุ่ม B และรายได้นี้ก็จะมีเข้ามาตลอดไม่ว่าเขาจะทำธุรกิจนี้หรือว่าลาจากโลกนี้ไปแล้ว คนที่อยู่ในด้าน B สามารถที่จะปล่อยวางธุรกิจของเขาได้เป็นปีๆ เมื่อเขากลับมา ธุรกิจนั้นก็ยังคงอยู่และอาจจะทำกำไรได้มากขึ้นอีกด้วย” เช่น 

ร้านแมคโดนัล 

ผมว่าทุกคนน่าจะรู้จักร้านแมคโดนัลดี ทุกวันนี้ร้านแมคโดนัลทุกสาขาทั่วโลกทำรายได้ทุกๆ นาที ทุกๆ วันให้กับเจ้าของ โดยที่เจ้าของแมคโดนัลไม่ต้องไปทำงานที่ร้านแมคโดนัลเลย (เจ้าของไม่จำเป็นต้องลงมือทำงานเอง) 

นอกจากนั้นหากเจ้าของร้านแมคโดนัลได้ตายจากโลกนี้ไป ลูกๆ ของเขาก็ยังคงมีรายได้จากร้านแมคโดนัลทั่วทุกมุมโลกอยู่ดี ลูกๆ ของเขาอาจจะทำแฮมเบอร์เกอร์ไม่เป็นเลยก็ได้ คนรวยทั่วโลก โดยส่วนมากจะเป็นคนที่มีรายได้จากธุรกิจของตัวเอง (เป็นคนแบบ B) ยกตัวอย่างเช่น 

คุณทักษิณ เป็นเจ้าของบริษัท ชินคอร์ป (AIS) และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย 

รายได้ที่ได้ต่อวันมากกว่าคนที่ทำงานประจำทำมาทั้งปี ในขณะที่คุณทักษิณ ไม่จำเป็นต้องไปที่บริษัทเลย หรือ

บิล เกต เจ้าของบริษัทMicrosoft 

ซึ่งเป็นผู้ผลิตโปรแกรมที่คนทั่วโลกรู้จักเช่น Windows, Microsoft Office ฯลฯ) บิล เกตมีรายได้มากขนาดที่มีคนเคยคำนวณเล่นๆ ว่า 

“หากบิล เกตทำเงิน 10 เหรียญตกที่พื้น เขาไม่จำเป็นต้องก้มลงไปเก็บก็ได้ เพราะในอีก 1 วินาทีต่อมา บริษัทของเขาก็สามารถทำเงินได้ 10 เหรียญ”

 ลองคิดดูครับว่า ใน 1 นาทีเขา (บริษัทของเขา) จะทำเงินได้เท่าไร? ใน 1 ชั่วโมงจะทำเงินได้เท่าไร? ถ้า 1 วันเขาจะทำเงินได้มหาศาลแค่ไหน? บิล เกตในวันนี้ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน เขาก็มีเงินจากบริษัทของเขาตลอดเวลา การทำเงินแบบคนด้าน B คือการสร้างธุรกิจขึ้นและจ้างให้คนอื่นมาทำงานให้ธุรกิจของเราเติบโต (ก็คือจ้างคนกลุ่ม E และ S มาทำแทนให้เรา) เป็นการทำงานเป็นทีม รายได้ไม่มีขีดจำกัด ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ B คือ 

“ความรู้ทางด้านการเงิน” 

การเริ่มต้นสร้างธุรกิจต้องใช้ความรู้ทางด้านการเงินเพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อการขาดทุน หลายๆ คนไม่สามารถก้าวข้ามสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้ เพราะกลัวเสียเงินนั่นเอง

4. I (Investor: นักลงทุน) 

ถ้ารายได้ของเรามาจากการลงทุน เราก็อยู่ในกลุ่ม I คนกลุ่มนี้คือ คนที่มีรายได้จากการใช้เงินทำงานแทนนั่นเอง เช่นการได้รับการดอกเบี้ยหรือการปันผลจากหุ้น รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เราเป็นเจ้าของ รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ (เพลง, สูตรยาต่างๆ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ฯลฯ) โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำงาน เพราะเงินหรือทรัพย์สินของเขาทำงานแทนและทำเงินให้กับเจ้าของตลอดเวลา การทำเงินแบบคนด้าน I คือ 

มองหาการลงทุนที่สามารถใช้เงินของเรา ออกไปทำงาน สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาให้เรา 

โดยที่เราไม่ต้องออกไปทำงาน เช่นการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือพันธบัตร หรืออาจจะลงทุนในกิจการ (บริษัท) ที่คิดว่าน่าจะให้ผลประโยชน์ได้มากข้อจำกัดของการทำเงินแบบ I คือ “ความรู้ทางด้านการเงิน” ผู้ที่เริ่มต้นอาจจะต้องผิดพลาด ล้มเหลวบ้างแต่ทั้งหมดนั้นจะเป็นกลายเป็นประสบการณ์ทำให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการเงินมากเท่าไร จะเป็นผู้ที่ทำเงินได้มากที่สุด และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

จะเห็นได้ว่าการทำเงินในด้าน B และ I จะเป็นด้านที่ทำเงินได้มาก ในขณะที่เราใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ในตอนท้ายของหนังสือชุดนี้ ผู้เขียนได้ถามเรา (คือผู้อ่าน) ว่า “ตอนนี้เราอยู่ด้านไหนของเงิน 4 ด้าน และครอบครัวของเรา คนรักและญาติๆ ของเราเขามีรายได้จากด้านไหนบ้าง? เมื่อเรารู้แล้วว่าเราอยู่ด้านไหนแล้ว เราต้องการจะอยู่ด้านไหนมากกว่ากัน?

3 ความคิดเห็น:

  1. งานใดๆก็ตามคงไม่อาจตอบโจทย์ของค่าครองชีพที่มีอัตตราค่าครองชีพที่สูงมากขึ้นทุกวัน
    แต่ก่อนน้ำมันลิตรละ20แต่เดียวนี้ 40บาททองคำบาทละ8000ปัจจุบัน24000เท่ากับ3เท่าเลย
    ในระยะเวลาไม่ถึง10แล้าคิดว่าอนาคตจะขนาดใหนนี้เป็นเหตุผลที่เราต้องหางานเพิ่มซึ่งงานนี้เราแนะนำที่นี้ลย
    สามารถตอบทุกโจทย์เราใด้
    http://kittipun.workjn.com

    ตอบลบ
  2. คำตอบ
    1. ผมกำลังศึกษาอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่า ธุรกิจเครือข่ายคือทางออกไปสู่ด้าน B ได้จริงๆหรือเปล่าครับ

      ลบ